ผมติดตามสถานการณ์โรคระบาด COVID-19 ตั้งแต่ประเทศแถบเอเชียเริ่มติดกันก่อนและประเทศเราอยู่ในอันดับท็อป 5 ผ่านไปอีกสักพัก COVID-19 เริ่มลามไปทางฝั่งยุโรปและอเมริกาอันดับเราก็ค่อยๆ ตกลง จนมีการชุมนุมที่สนามมวยและการเที่ยวกลางคืนที่ทองหล่อ ทำให้ยอดตัวเลขผู้ติดเชื้อของเราพุ่งกลับขึ้นมาอีกครั้ง
Feel Good
คุณธนะชัย สุนทรเวช
ผมติดตามสถานการณ์โรคระบาด
COVID-19
ตั้งแต่ประเทศแถบเอเชียเริ่มติดกันก่อนและประเทศเราอยู่ในอันดับท็อป
5 ผ่านไปอีกสักพัก COVID-19
เริ่มลามไปทางฝั่งยุโรปและอเมริกาอันดับเราก็ค่อยๆ ตกลง
จนมีการชุมนุมที่สนามมวยและการเที่ยวกลางคืนที่ทองหล่อ
ทำให้ยอดตัวเลขผู้ติดเชื้อของเราพุ่งกลับขึ้นมาอีกครั้ง
ก่อนที่ทางการจะมีคำสั่งให้ทุกคน
“อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” ที่ทำงานผมได้ทดลองทำการ Work
from home ล่วงหน้ามาสัก 2 สัปดาห์
ทำให้ปิดเทอมปีนี้ของลูกชายแปลกไปกว่าทุกปี
เพราะพ่อแม่ลูกอยู่บ้านด้วยกัน แต่ทุกคนต่างทำหน้าที่ของตัวเอง
ผมเองต้องแยกห้องออกไปทำงานข้างบน ภรรยาก็ทำงานอยู่ข้างล่าง
ส่วนลูกชายมีการเรียนแบบคอร์สออนไลน์
เนื่องจากตารางการเปิดเทอมของทุกโรงเรียนขยับออกไปหมด
ผมถือว่าเหตุการณ์นี้เป็นเหตุการณ์ไม่ปกติ เนื่องจาก COVID-19
เป็นโรคอุบัติใหม่
ไม่เคยมีโรคนี้เกิดขึ้นมาก่อนในชั่วอายุของผมหรือของคุณพ่อคุณแม่ผม
เป็นธรรมดาที่ทำให้ทุกคนตื่นตระหนกและตื่นกลัว
นับว่ายังโชคดีที่การสื่อสารสมัยนี้มีเทคโนโลยีที่เชื่อมโยงถึงกัน
ลองนึกดูสิครับ ถ้าสมมติว่าเกิดการระบาดขึ้นที่ประเทศจีน
การข่าวหรือการสื่อสารไม่รวดเร็วเท่าปัจจุบัน
สนามบินและสายการบินยังเปิดบริการให้ผู้คนเดินทางข้ามไปมาทั่วโลก
รวมถึงการบอกถึงวิธีการป้องกันก็จะทำได้ช้าลงไปอีก
ผมเชื่อว่าคนจะติดเชื้อมากกว่านี้เป็นเท่าตัว
พอมีการสื่อสารอย่างรวดเร็วทำให้ทั่วโลกได้รับทราบว่า
มีโรคใหม่เกิดขึ้นที่เมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน
ประเทศรอบข้างเริ่มมีมาตรการป้องกัน
และรีบถ่ายทอดวิธีการที่จะต่อสู้กับเจ้าเชื้อโรคร้ายนี้
ภรรยาผมจัดเตรียมหน้ากากอนามัยและเจลแอลกอฮอล์ไว้ให้สำหรับทุกคนในบ้าน
สมาชิกในครอบครัวพูดคุยถึงอันตรายของไวรัส
คอยย้ำเตือนกันเองและสอนลูกเรื่องล้างมือด้วยการฟอกสบู่บ่อยๆ
ใช้เจลแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อ
ใส่หน้ากากอนามัยทุกครั้งถ้าจำเป็นต้องออกจากบ้าน
พูดถึงสถานการณ์ปัจจุบันว่าช่วงนี้มีการกักตัวอยู่บ้านและรักษาระยะห่างระหว่างกัน
เพื่อให้คุณหมอเหนื่อยน้อยที่สุด ลูกผมปฏิบัติตามโดยเคร่งครัด
ผมคิดว่าการป้องกันความตื่นตระหนกและความไม่รู้
คือการรับข้อมูลที่ถูกต้องครับ
หลังจากทราบวิธีการป้องกันตัวเองแล้ว
เราก็ต้องเสริมภูมิคุ้มกันร่างกายเราให้แข็งแรงด้วย
ถือว่าการอยู่กับบ้านเป็นเรื่องที่ดี ครอบครัวได้ทำกิจกรรมร่วมกัน
ผมชวนลูกออกกำลังกายทุกเย็น ทำอาหารกินเอง และพักผ่อนให้เต็มที่
เพื่อป้องกันอาการป่วยและภูมิต้านทานโรคต่ำ
อย่างไรก็ตาม
คนในบ้านผมยังไม่จัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงเท่าไหร่นัก
แต่ที่น่าเป็นห่วงคือ คุณพ่อคุณแม่ที่สูงอายุครับ
ผมก็มักจะบอกข้อมูลท่านว่าไม่ควรออกไปไหน
โดยเฉพาะวันเสาร์หรืออาทิตย์ ไม่ไปในที่ชุมชนเพราะคนเยอะ
เราต้องเลี่ยงการพบปะผู้คน ถ้าต้องการอะไรขอให้โทรมา
เดี๋ยวผมจะซื้อของไปให้ ตอนแรกท่านก็รับปากอย่างดีครับ
แต่ผ่านไปสักพักใหญ่
ท่านคงทนความเบื่อหน่ายที่อยู่กับบ้านไม่ไหว
คุณแม่โทรมาหาผมบอกว่าวันเสาร์ที่แล้วคุณพ่อแอบนั่งรถกระป๊อออกไปจ่ายตลาดตอนเช้า
น้องสาวผมโทรไปห้ามก็ไม่ฟัง เธอจึงบอกว่าถ้าคุณพ่อดื้อขนาดนี้
ผมก็ควรไปรับไปส่งท่านแทน (ผมพบว่าคนที่ดื้อยิ่งกว่าลูก
ก็คือพ่อผมเองนี่แหละ) ผมจึงตกลงรับท่านไปตลาดแต่เช้า
ก่อนออกจากบ้านเช็กดูหน้ากากอนามัยว่าคุณพ่อใส่อย่างถูกต้อง
และผมจูงมือท่านไปซื้อของในตลาดด้วยตัวเอง
น่าตกใจที่ในตลาดก็มีแต่ผู้สูงอายุรุ่นราวคราวเดียวกับคุณพ่อผมทั้งนั้น
เรียกว่า ตลาดเป็นศูนย์รวมกลุ่มเสี่ยงก็ว่าได้ อย่างไรก็ตาม
ผมลองสำรวจด้วยตา
ในตลาดมีการจัดระเบียบให้แต่ละร้านค้าเว้นระยะอยู่ห่างกัน
พ่อค้าแม่ค้าใส่หน้ากากอนามัยทุกคน ถ้าร้านไหนที่เป็นแบบตักอาหาร
เช่น กับข้าวและแกงต่างๆ จะมีพลาสติกใสครอบทั้งหมด
แต่ร้านไหนที่ลูกค้าต้องเลือก เช่น ผัก ผลไม้ หรือ
อาหารที่ใส่กล่อง ก็จะเปิดโล่ง
ระหว่างที่คุณพ่อเดินตลาดก็มีแต่พ่อค้าแม่ค้าทักทาย
ผมก็เริ่มจะเข้าใจแล้วว่าที่อยากมาซื้อของก็ส่วนหนึ่ง
แต่การได้มาเจอคนที่คุ้นเคยก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่สำคัญ
เพราะคุณพ่อผมเดินตลาดทุกสัปดาห์ตั้งแต่ผมจำความได้
จะให้เลิกไปดื้อๆ เสียอย่างนั้น ท่านคงอดทนแล้วทนไม่ไหว
ผมคิดว่าผู้สูงอายุกับการเดินตลาดถือว่าเป็นสิ่งที่คู่กันครับ
กลับบ้านมา
ผมรีบให้ทุกคนล้างมือฟอกสบู่ให้เรียบร้อยก่อนจะไปทำอะไรอย่างอื่น
ภารกิจไปตลาดเมื่อเช้าใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง
ถ้าคุณพ่อเกิดอยากจะไปอีก
ผมคงคิดหนักเพราะโรคระบาดน่ากลัวจะทำให้ร่างกายเจ็บป่วย
แต่จิตใจก็สำคัญ ยิ่งกับผู้สูงอายุด้วยแล้ว
การไปตลาดคือความสุขเล็กๆ
การห้ามสารพัดวิธีมักจะไม่ได้ผลหรอกครับ
เราอาจจะต้องตามใจท่านแบบมีข้อจำกัดบ้างและเราควรไปดูแลท่านอย่างใกล้ชิดน่าจะดีกว่า
ถ้าจำเป็นจะต้องไปอีก
ครั้งต่อไปต้องวางแผนทำทุกอย่างให้เสร็จเร็วขึ้นและไปเช้าขึ้นเพื่อจะได้เจอคนน้อยลงหน่อย
อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าหลังจากที่ผมได้ตามไปตลาดมาแล้ว
ก็พอจะทราบว่าท่านต้องการอะไรบ้าง
อาจจะเปิดการเจรจาครั้งใหม่กับท่านให้อยู่บ้าน
แล้วเราไปซื้อของเจ้าประจำให้เอง
เพื่อลดความถี่การออกไปข้างนอกของท่านได้
น่าจะดีที่สุดครับ