ผมเชื่อว่าหลายท่านคงเริ่มปรับตัวหลังช่วงสถานการณ์ Covid-19 มาสักระยะแล้วนะครับ ตราบใดที่เรายังไม่มีวัคซีนที่รักษาโรคนี้ได้อย่างมั่นใจ เราๆ ท่านๆ คงต้องได้ทำกิจกรรมบางอย่างเพิ่มขึ้น หรือไม่ก็ต้องทำอะไรให้น้อยลง ผิดจากการใช้ชีวิตปกติวิถีเดิม
Feel Good
คุณธนะชัย สุนทรเวช
ผมเชื่อว่าหลายท่านคงเริ่มปรับตัวหลังช่วงสถานการณ์ Covid-19
มาสักระยะแล้วนะครับ
ตราบใดที่เรายังไม่มีวัคซีนที่รักษาโรคนี้ได้อย่างมั่นใจ เราๆ
ท่านๆ คงต้องได้ทำกิจกรรมบางอย่างเพิ่มขึ้น
หรือไม่ก็ต้องทำอะไรให้น้อยลง
ผิดจากการใช้ชีวิตปกติวิถีเดิม
ผมลองนึกๆ ดูว่า
กิจกรรมอะไรบ้างที่เราต้องทำเพิ่มขึ้น
ถ้าใกล้ตัวและเริ่มกลายเป็นกิจวัตรไปแล้ว คือ ล้างมือถี่ขึ้น
ใช้เจลแอลกอฮอล์มากขึ้น และขาดไม่ได้คือ
ต้องสวมหน้ากากอนามัยไปในทุกที่ จนเพื่อนๆ
ผมถึงขั้นพูดเตือนแนวติดตลกว่า
ทุกวันนี้ถ้าลืมใส่กางเกงในยังไม่เครียดเท่าลืมใส่หน้ากากอนามัย
เพราะแค่จะไปร้านสะดวกซื้อ ร้านบางร้านที่เคร่งจริงๆ
เขาไม่ให้เข้านะครับ
ถ้าเกี่ยวกับสุขภาพที่ผมและครอบครัวทำมากขึ้นคือ การออกกำลังกาย
ต้องเตือนตัวเองอยู่เสมอว่า เราต้องไม่ป่วย
เราต้องแข็งแรงจนกว่าจะได้วัคซีน
เพราะผมเคยพาคุณพ่อไปโรงพยาบาลในขณะที่ยังมีข่าวโควิดในช่วงแรก
โอ้โห เครียดเลยครับ ถ้ามีไข้ ไอแห้ง อ่อนเพลีย
เมื่อยเนื้อเมื่อยตัว หรืออาการใดๆ ที่ใกล้เคียงกับ Covid-19
มันเป็นไปได้หมด
ยิ่งถ้าหายใจไม่สะดวกหรือปอดไม่ค่อยดีนี่มีสิทธิ์ถูกจับแยกไปรักษาอยู่ห้องผู้ป่วยคนเดียวเพื่อตรวจเชื้อ
การรอคอยผลการตรวจนี่ทรมานมากครับ
เพราะฉะนั้นทางป้องกันที่ดีที่สุดคือไม่ป่วยนั่นเอง
นอกเหนือจากนี้
สิ่งที่ผมทำมากขึ้นกว่าเดิมคือ พวกบริการออนไลน์ต่างๆ เช่น
ดูหนังอยู่บ้านออนไลน์ ใช้การจ่ายเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น
(เลี่ยงการจับเงิน) ขับรถส่วนตัวไปไหนมาไหนเอง
เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้รถสาธารณะที่ต้องเจอผู้คนจำนวนมาก
ในทางตรงกันข้าม
กิจกรรมที่ทำน้อยลงน่าจะมีมากกว่า เช่น
ไม่ได้ไปดูหนังที่โรงหนังอีกเลย ลดการออกไปช็อปปิ้งตามห้าง
รวมถึงร้านอาหาร การไปเที่ยวต่างจังหวัดเพิ่งเริ่มไปไม่กี่ที่
ซึ่งน้อยลงกว่าแต่ก่อนมาก
เรื่องไปเที่ยวต่างประเทศไม่ต้องพูดถึงครับ
เพราะเราต้องรักษาโรคนี้ให้หายพร้อมกันทั่วโลกก่อน
ถึงจะเคลื่อนย้ายไปมาได้
แม้กระทั่งการไปทำงาน
ที่ทำงานให้คงการทำงานที่บ้าน (Work from Home) ไว้เป็นบางวัน
เพื่อลดจำนวนคนในออฟฟิศ
เช่นเดียวกับโรงเรียนลูกที่ให้ไปเรียนสัปดาห์เว้นสัปดาห์
สัปดาห์ที่อยู่บ้านก็ให้เรียนออนไลน์
สัปดาห์ไหนที่ไปเรียนก็ให้เรียนครึ่งห้อง
แล้วนั่งห่างกันเพื่อรักษาระยะห่าง
รวมถึงต้องยกเลิกการใช้บริการรถตู้รับส่งของโรงเรียน
โดยภรรยาอาสาขับไปรับส่งลูกด้วยตัวเอง
คนไทยได้รวมกันควักต้นทุนทางเศรษฐกิจ
กดกราฟผู้ติดเชื้อลดลง
จนทำให้การแพร่ระบาดของโรคนี้กลายเป็นศูนย์เป็นระยะเวลาเกินหนึ่งเดือน
อย่างไรก็ตาม ถ้าหยุดกิจกรรมทางธุรกิจต่อไป ไม่มีใครออกไปไหนเลย
เศรษฐกิจหลายประเภทต้องล้มหายตายจากเป็นแน่
ทำให้หลายธุรกิจเริ่มปรับตัวเอง และผมก็พร้อมสนับสนุน เช่น
โรงหนังเริ่มมีการฉายหนังแบบ Drive-in Cinema จะเปิดโรงช่วงค่ำๆ
โดยขับรถขึ้นไปจอดบนดาดฟ้าของที่จอดรถ คนดูนั่งดูหนังในรถของตัวเอง
มีแอร์ตู้ให้ความเย็นข้างรถด้วย แบบนี้น่าไปลอง
ถือว่าเป็นประสบการณ์แปลกใหม่สำหรับคนไทย
หรือถ้าเห็นได้ทั่วไปหน่อย
ก็จะเป็นร้านอาหารที่มีการตรวจวัดอุณหภูมิ สแกนแอปฯ
ไทยชนะก่อนเข้าร้าน แล้วก็มีการเว้นระยะที่นั่ง คล้ายๆ
กับร้านตัดผมที่ต้องนัดเวลาล่วงหน้า ไม่มีการไปนั่งออรอกันเต็มร้าน
มีการทำความสะอาดของอุปกรณ์
เช็ดเบาะเช็คเก้าอี้ทุกครั้งที่ตัดผมเสร็จเป็นรายๆ ไป
พวกงานอีเว้นท์ต่างๆ ก็จัดแบบปลอดภัย
อย่างงานมอเตอร์โชว์ครั้งล่าสุด
ผู้ชมงานต้องตรวจวัดอุณหภูมิและสวมหน้ากากอนามัยเข้าชมงานแบบมีระยะห่าง
ในงานปรับทางเดินให้กว้างขึ้น พริตตี้ใส่ face shield โชว์หน้าสวยๆ
ได้ มีเจ้าหน้าที่คอยทำความสะอาดรถตลอดเวลา
ส่วนคอนเสิร์ตและศิลปินที่ได้รับผลกระทบ
ก็ปรับตัวไปจัดคอนเสิร์ตย่อยแบบไพรเวทปาร์ตี้
หรือมีบางโรงแรมให้ศิลปินมาเปิดคอนเสิร์ตตรงพื้นที่ว่างกลางโรงแรม
แล้วให้ผู้เข้าพักออกมาดูผ่านระเบียงของห้องตัวเอง
ช่วยทั้งศิลปินและโรงแรมไปพร้อมๆ กัน
แม้การท่องเที่ยวต่างประเทศและสายการบินจะได้รับผลกระทบอย่างหนัก
แต่ประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่ควบคุมการระบาดโรค Covid-19
ได้ดีที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง
รัฐบาลมีแคมเปญสนับสนุนทั้งเรื่องที่พักและร้านอาหารในต่างจังหวัดในราคาประหยัด
คืนค่าตั๋วเครื่องบินให้ 40%
สิ่งเหล่านี้กระตุ้นคนให้ออกมาใช้เงินและท่องเที่ยวในประเทศ
ช่วยคลายความเครียดได้
การช็อปปิ้งในห้างสรพพสินค้าก็สร้างความมั่นใจตั้งแต่ทางเข้าห้าง
มีทั้งตรวจวัดอุณหภูมิ ล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ เช็ดพื้นรองเท้า
พอเข้า-ออกร้านต่างๆ ต้องสแกนแอปพลิเคชั่น
ร้านเสื้อผ้าก็จะมีถุงคลุมศีรษะเวลาลองสวมเสื้อผ้า
สิ่งเหล่านี้คือวิถีใหม่ที่สร้างความปลอดภัยและความมั่นใจไปพร้อมๆ
กัน
หรือถ้าใครเป็นแฟนกีฬา
โดยเฉพาะฟุตบอล
จะเห็นว่าประเทศในยุโรปให้นักกีฬาลงแข่งแบบไม่มีคนดู
แล้วใช้เสียงประกอบคล้ายกับมีกองเชียร์รอบสนาม
มันก็แปลกตาดีนะครับ ทั้งๆ ที่เห็นว่าไม่มีคนดู
แต่ก็มีเสียงเชียร์อยู่ เวลานักฟุตบอลยิงเข้าประตู
แต่ก่อนต้องวิ่งกรูกันเข้าไปกอด ตอนนี้ให้เอาข้อศอกมาชนกัน
อย่าไปแปลกใจเลยครับ
สิ่งเหล่านี้อาจจะขัดหูขัดตาเราไปบ้าง
บางคนแข็งขืนดึงดันไม่ทำตาม แต่สุดท้ายกระแสสังคม
การเห็นผลประโยชน์ส่วนรวมจะปรับแต่งวิถีชีวิตของคนส่วนใหญ่ให้เข้ารูปเข้ารอย
ยิ่งโรคนี้อยู่กับเราไปนานเท่าไหร่
เราก็จะเริ่มชินกับพฤติกรรมใหม่ๆ เหล่านี้
เพราะมนุษย์อยู่รอดมาได้ถึง 2
ล้านปีก็เพราะเราสามารถปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมได้นั่นเอง
ไม่ว่าจะเกิดภัยพิบัติ โรคร้าย หรือเหตุการณ์ผิดปกติใดๆ
มนุษย์ก็จะสามารถปรับตัวเพื่อให้ชีวิตอยู่รอดปลอดภัยและไปต่อได้เสมอครับ